คุยกับพี Software Engineer เปิดมุมใหม่ของการทำงานแบบ Work from Anywhere ฉบับคนทำงานสาย Tech

คุยกับพี Software Engineer เปิดมุมใหม่ของการทำงานแบบ Work from Anywhere ฉบับคนทำงานสาย Tech
18/08/22   |   3.7k

 

เพราะโลกแห่งธุรกิจในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา บริษัทในแทบทุกอุตสาหกรรมต่างก็ให้ความสำคัญกับ Trend ของการขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงไม่น่าแปลกใจที่สายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยี อย่างตำแหน่ง Software Engineer นั้นได้รับความนิยมทั้งในกลุ่มคนหางาน และองค์กรที่หาคนทำงานในสายงานนี้ โดยตำแหน่งที่ว่านี้สามารถทำงานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Software หรือ Application ต่าง ๆ ไปจนถึงดูแลระบบหลังบ้าน (Back Office) ในการทำงานขององค์กรเอง 

 

วันนี้เราจะมาเจาะลึกเบื้องหลังการทำงานของ ตำแหน่ง Software Engineer ผ่านการทำความรู้จักคนทำงานตัวจริงอย่าง “พี” Software Engineer ของ THiNKNET  มาดูกันว่าการทำงานสาย Tech ในปัจจุบันภายใต้การทำงานรูปแบบ Work from Anywhere และการทำงานแบบ Hybrid นั้นเปลี่ยนแปลงโลกแห่งการทำงานและการใช้ชีวิตของคนทำงานไปอย่างไรบ้าง

 

แนะนำตัวหน่อย ชื่ออะไร ทำงานตำแหน่งอะไร และทำมานานแค่ไหนแล้ว?

ชื่อ พีรพัฒน์ บุญโญปกรณ์ ชื่อเล่นชื่อ พี ครับ ทำงานตำแหน่ง Software Engineer อยู่ทีม Product Support ทำงานมาประมาณ 6 เดือนแล้วครับ

 

พีต้องรับผิดชอบงานอะไรบ้าง ในตำแหน่ง Software Engineer ที่ THiNKNET?

ผมรับผิดชอบในการพัฒนาระบบ JobThai Platform ทั้ง Web Application และ Mobile Application ครับ รวมไปถึงการตรวจสอบ และแก้ไขเวลามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในการใช้งาน Platform ครับ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ประสบการณ์ทีดีที่สุดในการหางานบน JobThai Platform ของเราครับ 

 

คนจะเป็น Software Engineer ต้องใช้ทักษะทั้ง Hard Skills และ Soft Skills อะไรบ้าง?

ผมว่า Hard Skills ที่ต้องใช้แน่นอนคือการเขียนโปรแกรม การใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น GIT, Docker, VS code และก็ต้องมีความเข้าใจในเรื่องของการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันด้วยครับ ส่วน Soft Skills อื่น ๆ ที่ควรจะมีก็คือ ทักษะการวิเคราะห์ปัญหา การสื่อสารที่แม่นยำ ตรงประเด็น และการบริหารจัดการงานครับ

 

มีปัญหาเรื่อง Skill Gap บ้างไหม ถ้ามี พีมีเทคนิคยังไงในการพัฒนาทักษะที่ไม่ถนัดเหล่านั้น?

มีปัญหาอยู่เยอะเหมือนกันครับ เพราะว่าทำงานไม่ตรงสายกับที่จบมา ผมจบสาขาวิศวกรรมการบินมาครับ แต่มาทำงานเป็น Software Engineer ซึ่งเป็นสายงานที่ต่างจากสาขาที่จบมาก ปัญหาที่มักจะมีก็คือการสื่อสารกับคนอื่น ๆ ทำได้ยากเพราะความรู้ไม่ตรงกัน ก็ต้องพยายามปรับปรุงโดยการไปเรียนรู้เพิ่มเติมจาก BootCamp ของทางแผนก เรียนเพิ่มเติมจากทางคอร์สออนไลน์ แล้วก็คุยกับคนในทีมเวลามีเรื่องที่ไม่เข้าใจครับ 

 

นอกจากการลด Skill Gap แล้ว พีพัฒนาตัวเองเพื่อการทำงานยังไงบ้าง?

ล่าสุดก็มีเข้าไปอบรม Learning Day ในเรื่องของการ Design เว็บและแอปพลิเคชันที่ทางแผนก Engineer จัดขึ้นครับ แม้ว่าความรู้ส่วนนี้จะไม่ได้ใช้ในงานโดยตรง แต่ก็ช่วยให้เข้าใจงานของเราในภาพรวมและเห็นความเชื่อมโยงกับงานของแผนกอื่นที่เกี่ยวข้องมากขี้น ทำให้เราสามารถที่จะทำงานของเราให้เอื้อต่องานส่วนอื่นได้ หรือช่วยเหลือกันและกันได้มากขึ้นครับ

 

ทักษะที่ได้จากการทำงานที่พีเอาไปต่อยอดให้กับตัวเองได้ มีอะไรบ้าง?

อย่างแรกที่ได้จากการทำงานคือความรู้ในงานโดยตรง เช่น เรื่องทักษะการเขียนโปรแกรมภาษาต่าง ๆ และเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในแวดวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ อย่างที่สองคือการได้เรียนรู้วิธีการบริหารงาน กระบวนการที่เกี่ยวกับทางด้านการพัฒนาเว็บหรือการพัฒนาแอปพลิเคชัน หากมีโอกาสทำ Project ของตัวเอง ผมก็จะใช้ความรู้ที่ได้ในเชิงการบริหาร และกระบวนการทำงาน ไปปรับใช้กับการทำงานในอนาคตครับ

 

มาพูดถึงการทำงานที่นี่กันบ้าง ถ้าจะให้นิยามการทำงานที่ THiNKNET จะนิยามว่ายังไงดี?

การทำงานที่ THiNKNET ทำให้รู้สึกเหมือนว่าทุกคนเป็นเพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง เพราะที่นี่มักเปิดโอกาสให้เราได้ออกความเห็น และรับฟังเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ

 

ช่วยเล่า Moment หรือประสบการณ์การทำงานที่ประทับใจให้ฟังหน่อย?

Moment ที่ประทับใจคือการได้เข้าร่วมกิจกรรมพนักงานใหม่ของ THiNKNET ครับ ซึ่งผมว่าช่วงการเริ่มต้นการทำงานใหม่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่จะทำให้คนทำงานอย่างเราได้เรียนรู้ในการปรับตัวเข้ากับบริษัทครับ จำได้ว่าตอนนั้นได้เล่นเกม ได้รางวัล ได้รู้จักเพื่อนใหม่ แถมยังได้รู้จักกับบริษัทมากขึ้นด้วย ทำให้รู้สึกว่าที่นี่มีความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับพนักงานครับ

 

ในช่วงทดลองงาน ต้องปรับตัวมากไหม ใช้เวลานานเท่าไหร่ ภายในทีมดูแลสอนงานให้พียังไงบ้าง?

ช่วงเวลาทดลองงานก็มีการให้เรียน BootCamp ของแผนกเพื่อปรับความรู้พื้นฐานครับ ทำให้ได้เรียนรู้ทักษะที่ต้องใช้ในงานแล้วก็เรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหาหลักของงานครับ หลังจากนั้นพี่เขาก็จะให้เราเริ่มจากการทำงานง่าย ๆ ก่อน แล้วก็ค่อยปรับระดับเป็นงานที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตามความสามารถของเราครับ ถ้ามีคำถามอะไรก็ทักไปถามคนในทีม หรือบางทีก็ทักไปถามคนนอกทีมครับ ทุกคนพร้อมก็พร้อมช่วยเหลือตลอด ผมใช้เวลาประมาณซัก 4-5 เดือนในการปรับตัว ถึงเริ่มเข้าใจภาพรวมของงานมากขึ้น ครับ

 

พอได้ทำงานจริงกับ THiNKNET รู้สึกยังไงบ้าง เหมือนที่เคยคิดไว้ไหม หรือต่างจากที่จินตนาการไว้ยังไง?

พอได้ยินว่าทำงานแบบ Work from Anywhere ก็คิดว่าจะต้องมีความยุ่งยากลำบากในการทำงานแน่ ๆ เพราะเคยเห็นคนที่ทำงานเก่าที่ได้ Work from Home จะชอบบ่นว่ายาก เหนื่อยมาก มาทำที่ออฟฟิศยังดีกว่า แต่พอมาทำจริง ๆ ก็รู้สึกว่าการทำงาน WFA ที่ THiNKNET รู้สึกลื่นไหล และเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไร อาจจะเป็นเพราะที่นี่วางระบบไว้ดีด้วยครับ สามารถทำทุกอย่างที่บ้านได้เลย ทั้งเรื่องของการส่งงาน การสื่อสาร การเข้าออกงาน สะดวกสบายกว่าที่เคยคิดไว้ครับ

 

คิดว่าการ WFA ทำให้ตารางชีวิตของพีเปลี่ยนไปไหม มีประโยชน์กับเรายังไงบ้าง?

สิ่งที่ชอบในการทำงาน WFA คือการที่เรามีโอกาสได้เลือกชีวิตในแบบที่เราต้องการครับ เราสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะทำงานที่บ้าน ไปที่ร้านกาแฟที่เราชอบ หรือ จะเข้าออฟฟิศครับ ทำให้รู้สึกว่าไม่เครียดกับงานมากเกินไป เพราะสามารถเลือกสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับตัวเองได้ นอกจากนี้การบริหารเวลาจากการ WFA ยังทำให้เรามีเวลาชีวิตมากขึ้น มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น จากที่เคยต้องตื่นเช้าเพื่อเดินทางออกไปทำงานและกลับบ้านดึก ตอนนี้เราสามารถที่จะทำงานได้ทันทีหลังตื่นนอน พอตกเย็นก็มีเวลาไปออกกำลังกายหรือไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่เราชอบ ทำให้รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมากครับ เมื่อชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น เราก็จะมี Passion ทั้งการใช้ชีวิต และเราก็จะทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้นด้วยครับ

 

 

 

รู้สึกยังไงกับคำกล่าวที่ว่า “สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศของการทำงานมีผลต่อความคิดสร้างสรรค์” และ  คิดว่าการ WFA ทำให้การทำงานดีขึ้นหรือไม่  มีสมาธิในการทำงานมากขึ้นรึเปล่า?

ผมมองว่าคำกล่าวนี้จริงครับ การมีความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าอย่างน้อยเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับเรา ก็จะช่วยให้เราสามารถที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ครับ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าการทำงานแบบ WFA ได้งานมากขึ้นกว่าการทำงานที่ออฟฟิศเพราะว่าปกติผมชอบทำงานในบรรยากาศเงียบ ๆ คนเดียวอยู่แล้วครับ ผมก็จะมีสมาธิตอนทำงาน และสามารถพักผ่อนได้บ้างทำให้เราไม่เครียดเกินไป นอกจากนี้ในเวลาที่เราไม่ได้เข้างาน ถ้าเราคิดอะไรเกี่ยวกับงานออก ก็สามารถทำมันได้ทันที ไม่ต้องรอไปเข้าออฟฟิศในวันต่อไป ปกติผมก็เลยเลือกทำงานที่บ้านมากกว่าครับ

 

บรรยากาศในการทำงานกับคนในทีมในรูปแบบ WFA เป็นยังไงบ้าง หากมีอุปสรรคระหว่างการทำงาน พีมีวิธีแก้ไขยังไง?

เพื่อนร่วมงานในทีมช่วยเหลือกันดีครับ เวลามีปัญหาอะไรก็สามารถทักไปถามหรือ Call ผ่านระบบ Microsoft Teams ไปหากันครับ ถึงจะไม่ได้รวดเร็วแบบการเดินไปหาที่โต๊ะแบบการทำงานในออฟฟิศ แต่ผมว่าการทำงาน Online ก็ไม่ได้ทำให้การติดต่อสื่อสารยากอะไรครับ อาจมีบ้างที่บางคนว่างไม่ตรงกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ แค่รอจนกว่าเขาจะสะดวก แล้วก็แชร์หน้าจอเพื่ออธิบายปัญหา และให้เขาช่วยวิเคราะห์หาทางแก้ไขปัญหากันครับ

 

การ WFA มีผลต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานทั้งในและนอกแผนกอย่างไรบ้าง มีกิจกรรมอะไรที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานมากขึ้นบ้าง?

WFA ที่ THiNKNET ทำให้ผมได้เห็นว่า แม้ว่าเราจะไม่ได้พบปะเพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศ แต่เราก็สามารถที่จะทำงานเป็นทีมได้ครับ ระยะทางไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือความร่วมมือกันและมีเป้าหมายตรงกันครับ ถ้าเป็นเรื่องกิจกรรมที่จะทำให้รู้จักกันและกันมากขึ้น ก็คงเป็นกิจกรรม Daily Meeting ทุกเช้านี่แหละครับ ที่เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนในทีมจะมาพูดคุยอัปเดตงานที่แต่ละคนกำลังทำอยู่ รวมไปถึงแชร์ข่าวสารใหม่ ๆ  ผมว่าได้ประโยชน์ทั้งเรื่องงานและเป็นช่วงเวลาในการทำ Team Building ไปในตัวครับ ทำให้ผมได้รู้จักสไตล์และตัวตนของสมาชิกในทีมได้มากขึ้นครับ

 

นโยบาย WFA ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันไหม ลองเล่าเคสตัวอย่างได้ไหม?

คิดว่าตอบโจทย์ชีวิตมากครับ เพราะในตอนที่ยังทำงานอยู่ที่เก่าเคยมีความคิดว่าถ้าบ้านอยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงานก็ดี จะได้ประหยัดค่าเดินทาง และเวลาในการเดินทางทั้งตอนเช้าและเย็นหลังเลิกงาน ไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินทาง มีเวลาเหลือก็ได้พักผ่อน หรือ เอาไปทำกิจกรรมที่มีประโยชน์อื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย พอ THiNKNET ออกนโยบาย WFA พอดีเลยทำให้ผมมีอิสระในการบริหารจัดการชีวิตมากขึ้น สามารถทำได้ครบทุกอย่างที่เคยอยากทำ เพราะทำงานที่บ้านอยู่แล้ว จากที่เคยทำงานที่ออฟฟิศและใช้เวลาเดินทางกลับบ้านค่อนข้างนาน กลับถึงบ้านก็จะได้ออกกำลังกายน้อยหน่อย แต่ตั้งแต่มี WFA ก็ทำให้ได้ออกกำลังกายมากขึ้นหลังเลิกงาน โดยรวมแล้วคุณภาพชีวิตทุกด้านก็ดีขึ้นมากเลยครับ   

 

เรื่องราวการทำงานของพีเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ DNA ของคนทำงานสาย Tech ที่ THiNKNET ซึ่งพร้อมเปิดรับการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองให้เก่งยิ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้เรายังได้เห็นมุมของการทำงานแบบ Work from Anywhere ในแบบ THiNKNET ที่ช่วยเพิ่มทางเลือกในการทำงาน ให้พนักงานสามารถเลือกบริหารจัดการชีวิตได้ดั่งใจ เลือกสภาพแวดล้อมที่อยากนั่งทำงานสบาย ๆ ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้เกิดสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่ม Passionให้กับการใช้ชีวิต ตอบโจทย์ทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวได้พร้อมกัน

 

สำหรับใครที่ชื่นชอบในงานสาย Tech และอยากร่วมงานกับ THiNKNET ในตำแหน่ง Software Engineer ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ ที่นี่ หรือ หากสนใจงานด้านอื่น ๆ ถ้าอยากรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรบ้าง สามารถเข้าไปดูตำแหน่งงานที่เปิดรับทั้งหมดของ THiNKNET ได้ ที่นี่

 

tags : software engineer wfa work from anywhere thinknet work from home hybrid working ทำงานที่ไหนก็ได้



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email