สวัสดีครับ ผมชื่อ “แจ็ค” เป็น Principal Engineer ที่บริษัท THiNKNET วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์การทำ Work from Home ที่กาญจนบุรี ตั้งแต่การระบาดโควิดระลอกแรกจนถึงระลอกใหม่เกือบจะ 1 ปีได้
เริ่ม Work from Home (WFH) ครั้งแรก
เริ่มจากที่กรุงเทพประกาศ Lockdown ห้ามคนเข้าออกจังหวัด ซึ่งตอนนั้นผมกลับมาที่กาญจนบุรีพอดีทำให้เข้า กทม. ไม่ได้ และช่วงนั้นบริษัทมี plan ที่จะ WFH อยู่แล้ว จึงมีโอกาสได้ทดลอง WFH แบบจริงจัง โดยทดลอง 1 สัปดาห์กับแผนก Engineer ปรากฎว่าทุกคนสามารถทำงานได้ เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้ในบริษัทเกือบทุกตัวอยู่บน Cloud อยู่แล้ว ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการ WFH นับแต่นั้นมา โดยเครื่องมือที่เราเลือกใช้สื่อสารหลักๆ มีดังนี้

- MS Teams ใช้เป็นเครื่องมือหลักในการสือสาร
- Zoom ใช้ video conference
- Jira สำหรับ Plan และ Tracking Project
- Confluence สำหรับทำเอกสารไว้สื่อสารในทีม เช่น Requirement, TestCase เป็นต้น
- Adobe XD สำหรับออกแบบและสร้าง Prototype
- Office365 สำหรับจัดการเอกสารทั่วไป
- GoodNotes สำหรับแซร์ WhiteBoard
ในทุกวันทีม Principal จะมีการประชุมผ่าน Zoom เพื่ออัปเดตสถานะงานว่า เมื่อวานทำอะไร, วันนี้จะทำอะไร, ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า และจบด้วยการถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและกัน หากประชุมไหนจำเป็นต้องวาดรูปทางทีมเลือกใช้ GoodNotes บน iPad วาดและ Share Screen ผ่าน Zoom เพื่อคุยกัน ซึ่งจากที่ทดลองและปรับรูปแบบต่าง ๆกับทีมมาระยะหนึ่งค่อนข้างจะตอบโจทย์การสื่อสารสำหรับการทำงานแบบ WFH และก็พร้อมจะเปลี่ยนเป็นการทำงานแบบ Work from Anywhere ได้ทันที เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ผ่อนคลายลง
Work from Anywhere - LifeStyle ที่เปลี่ยนไปเมื่อกลับไปอยู่ต่างจังหวัดอีกครั้ง
ประวัติแบบย่อของผมคือ เป็นคนต่างหวัดเข้ามาเรียนและทำงานที่ กทม. ได้ 16 ปีมีภรรยาและลูกอยู่ที่กาญจบุรี ปกติถ้าไม่ได้ WFA ก็จะทำงานอยู่ กทม. เสาร์อาทิตย์ค่อยกลับมาอยู่กับภรรยาและลูก พอได้ WFA LifeStyle เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะพอสมควร
เวลาที่เสียกับการเดินทางน้อยลง ปกติจะกลับบ้านทุกวันศุกร์เป็นอะไรที่เหนื่อยมากเพราะกว่าจะเดินทางออกจากกรุงเทพได้ต้องฝ่ารถติดเป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะถึงบ้านก็สองสามทุ่มซึ่งลูกและภรรยาก็หลับแล้ว ถ้าเทียบกับทุกวันนี้ที่ทำงานที่บ้านปัญหารถติดแถบจะไม่ได้เจอ ทำให้ได้เวลาที่เสียเปล่ามาใช้กับลูกและภรรยา เช่น ทำอาหารให้ลูกกิน, พาลูกปั่นจักรยาน, พาลูกเล่นทราย, พาไปกินข้าว เป็นต้น
มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้นได้ทำในสิ่งที่ตนเองสนใจ
เลือกเมล็ดกาแฟที่ชอบเพื่อชงดื่มตอนเช้า

ทำอาหารและเลือกวัสดุดิบเองจากตลาด ซึ่งผักสดที่ตลาดต่างจังหวัดค่อนข้างจะสดแทบจะส่งตรงจากแปลงปลูกและที่สำคัญถูกมากแค่กำละ 5 บาท โดยเมนูที่ชอบทำจะเป็นเนื้อไม่ว่าจะเป็น สเต็ก, ลาบ, ก้อย, ย่าง, ต้ม แทบจะลองทำทุกอย่างที่เนื้อทำได้
ปลูกผักปลอดสารพิษ จำพวกผักบุ้ง ผักคะน้า ผักสลัด โดยใช้ช่วงว่างตอนเช้าและเย็นดูแล

อ่านหนังสือได้มากขึ้น ปกติถ้าไม่ได้ WFA จะใช้เวลาตอนขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานอ่านหนังสือ แต่พอ WFA มีเวลามากขึ้นและมีพลังเหลือ ก็จะใช้ช่วงเวลาหลังจากเอาลูกเข้านอนมาอ่านหนังสือที่สนใจ

ในทุก ๆ เดือนทางบริษัทก็จะมีกิจกรรมให้ทุกคนเข้ามาพบปะพูดคุยกันที่ office หรือใครมีเรื่องอะไรมาแชร์สามารถแชร์ในกิจกรรมนี้ได้เลย และมีช่วง Q&A กับ CEO ที่ใครมีคำถามอะไรเกี่ยวเรื่องงาน, บริษัทหรือเรื่องทั่วไปก็สามารถถามตรงกับ CEO ได้

ช่วงเย็นก็จะนัดกันไปกินข้าว


หลังจาก WFA ที่ต่างจังหวัดมาเกือบจะ 1 ปีทำให้ "มีเวลามากขึ้นทั้งเวลาที่ให้กับครอบครัวและตัวเอง" ไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทางและปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้
สำหรับใครที่สนใจทำงานแบบ Work From Anywhere สามารถดูตำแหน่งงานได้ ที่นี่ เลยนะครับ