ลดน้ำหนัก 16 กิโลกรัม ด้วยวิธี Keto ภายใน 60 วัน

ลดน้ำหนัก 16 กิโลกรัม ด้วยวิธี Keto ภายใน 60 วัน
22/07/21   |   21.4k

การ Work form Home หรือ Work from Anywhere ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่วิถีของการทำงานเท่านั้น แต่ก็เปลี่ยนวิถีชีวิตของคนทำงานไปด้วย ขึ้นชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงแล้วในตอนแรกก็คงจะยากอยู่ซักหน่อย แต่พอปรับตัวได้แล้วเราก็จะได้เจออะไรใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ อย่างบางคนก็อาจจะเป็นวิธีการกินแบบใหม่ ที่ทำให้น้ำหนักหายไป 16 กิโลกรัม อั้ม ปิยภัทร จากทีม Engineer จะมาเล่าให้เราฟังว่าเขาทำได้ยังไง 

 

สวัสดีครับ - Blog นี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ การลดน้ำหนักด้วยวิธีที่หลายคนอาจจะคุ้นหูอยู่แล้ว นั้นคือการลดน้ำหนักแบบ "Keto" นั้นเอง  โดยหลังจากที่ได้ลงมือทำ ผ่านไปแล้วครบ 60 วัน วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และ 60 ที่ผ่านมาของผมนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ :)

 

โดยผมจะเล่าให้รายละเอียดเป็นข้อๆ เพื่อให้เพื่อนๆเข้าใจได้ง่ายนะครับผม

  • การลดน้ำหนักแบบ Keto คืออะไร และการทานอาหารแบบ Keto สามารถทานอะไรได้บ้าง
  • เคล็ดลับที่ว่าการ WFH ทำไมถึงตอบโจทย์กับวิธีการลดน้ำหนักแบบนี้มากๆครับ
  • 60 วันที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นอย่างไรบ้าง มีข้อดี และข้อเสียอย่างไรบ้าง

 

* ก่อนจะเริ่ม ผมขอแจ้งให้ทราบว่ารายละเอียดทั้งหมดใน Blog นี้ มาจากการศึกษา และวิธีการที่ทำในแบบฉบับของผมเอง อาจจะไม่ได้ตรงตามหลักสูตร 100% แต่ก็เป็นไปตามแนวทางและตรงตามข้อควรปฏิบัติหลักๆ ข้อมูลบางส่วนอาจจะต้องเป็นการปรับเปลี่ยนวิธีการหรือรูปแบบตามความเหมาะสมของผู้อ่านเองนะครับผม

 

เมื่อพร้อมแล้วมาเริ่มกันได้เลยครับผม >>>

 

 

การลดน้ำหนักแบบ Keto และอาหารที่ Keto สามารถทานได้มีอะไรบ้าง

การลดน้ำหนักแบบ Keto คืออะไร การลดน้ำหนักแบบ Keto นั้นคือการเลือกทานอาหารครับ

การทานอาหารแบบ Keto นั้น คือการกินไขมันที่มาจากธรรมชาติล้วนๆ เป็นระยะเวลาติดต่อกัน เพื่อให้ร่างกายปรับพฤติกรรมการใช้สารอาหารมาเป็นแหล่งพลังงาน กล่าวคือ นำไขมันมาใช้แทน คาร์โบไฮเดรต และ โปรตีน โดยการทานอาหารแบบคิโตเจนิก ไดเอต (Ketogenic Diet) นั้น ผู้บริโภคจะเน้นทานพวกเนื้อติดมัน ไขมันจากพืชและสัตว์ ถั่วต่างๆ เนย และ ชีส และลดปริมาณอาหารที่ให้สารอาหารจำพวก โปรตีน คาโบไฮเดรต น้ำตาล ที่มีอยู่ใน ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวโพด ต่างๆ เพื่อให้ระบบของย่อยอาหารของร่างกายจดจำและจำเป็นต้องใช้ไขมันมาเป็นแหล่งพลังงานแทน (ดูจากรูปประกอบได้เลยครับ)

 

 

ถามว่าทำไมการลดน้ำแบบ Keto ผมถึงเรียกว่าเป็นการลดน้ำหนักแบบวิถีคนอ้วน เพราะการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ เราไม่ได้เน้นที่การออกกำลังกายเป็นหลักครับ และเราก็ยังได้ทานอาหารอร่อยๆแบบที่เราอยากทานได้อีกด้วย (เท่าที่ได้นะครับ อย่าง ไอศครีมปกติแบบนี้ อด 100% ครับผม)

 

จากช่วง 60 วันที่ผ่านมานั้น ผมขอแชร์รูปภาพเมนูต่างๆ ที่ผมได้ทานในแต่ละวันให้ดูว่าอาหารของคนทานคีโตนั้น ก็ดูน่ากินและอร่อยไม่แพ้กับอาหารที่ทานกันในชีวิตปกติทั่วไปเลยครับผม (รูปอาจจะเล็กหน่อยนะครับ เพราะเมนูเยอะมาก :))

 

    

 

จะเห็นว่าอาหารเกือบทั้งหมดก็คือ เนื้อสัตว์ และผักที่คีโตทานได้ครับ โดยที่ของโปรดเลยก็คือหมูกรอบครับ ทานได้แบบไม่อั้นเลยทีเดียว ส่วนเครื่องปรุงนั้นก็เป็นเครื่องปรุงของคีโตครับ เช่นน้ำมันก็ใช้น้ำมันมะพร้าว เกลือก็ต้องเป็นเกลือชมพู ซีอิ้วก็เป็นของสูตรคีโตครับ ซึ่งราคาอาจจะสูงกว่าปกติเล็กน้อยแต่ไม่มากครับ เพราะคีโตนั้นมีข้อจำกัดเรื่องคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลที่ไม่สามารถทานได้เกินปริมาณที่กำหนดต่อวัน ทำให้เราต้องค่อนข้างระวังเรื่องการใช้เครื่องปรุงให้ดีนิดนึงครับผม

 

ส่วนของที่ห้ามทานเลย หรือทานได้แต่น้อยมากก็คือ ของหวานครับ น้ำอัดลม แป้ง ส่วนตัวผมเอง สิ่งที่ผมเลิกทานไปเลยคือ ไอศครีมครับ น้ำอัดลม ชา กาแฟนมทั้งหลาย และที่ได้ทานมากขึ้นคือ กาแฟดำ ครับทานจนชินจน drift กาแฟกันเองเลยทีเดียว :)

 

เคล็ดลับที่ว่าทำไม WFH ถึงเหมาะกับการลดน้ำหนักแบบวิธีนี้เอามากๆ

ตรงนี้ขอบอกว่ามี 2 สาเหตุครับ ที่ผมได้พิสูจน์มาแล้วกับตัวเอง คือ

1. อาหารที่เราทานนั้น ทำเองจะตอบโจทย์มากกว่ามาก ๆ ครับ การไปทานอาหารข้างนอก มีข้อควรระวังเยอะมาก เนื่องจากเราไม่รู้วิธีการทำหรือขั้นตอน ทำให้เราอาจจะทานผิดจากหลักคีโต ที่เราใช้คำเรียกว่า หลุดคีโต นั้นเองครับ (หรือไม่ก็คือต้องคอยย้ำกับร้านอาหารเลยว่าเราขอปรุงแค่นี้ อะไรแบบนี้ไปนะครับ) แต่การทานอาหารนอกบ้านก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะครับ เมนูที่ผมเคยทานนอกบ้านก็มี ข้าวมันไก่(สั่งแต่เนื้อล้วนครับไม่ต้องราดน้ำจิ้ม) เกาเหลา(ขอเนื้อล้วนผักนิดหน่อย ไม่ปรุงอะไรเลย) ชาวคีโตกล่าวไว้ว่า น้ำจิ้มคีโตคือของสำคัญครับ พกติดตัวเวลาออกนอกบ้านเสมอครับผม

 

2. การบริหารเวลาการทำงาน ที่สามารถจัดการเองได้ และทำให้เราไม่พลาดตารางการออกกำลังกายครับ ถึงการลดน้ำหนักแบบคีโตจะเน้นไปที่การปรับการทานอาหารเป็นหลัก แต่การออกกำลังกายก็สำคัญครับ ผมเองจัดตารางการออกกำลังกายของตัวเองไว้ และการทำงานที่สามารถบริหารเวลาได้นั้น ถึงแม้งานจะยังติดพันอยู่ หรือยังเคลียร์งานของวันนั้น ๆ ไม่เสร็จ เราก็สามารถที่จะบริหารเวลาการทำงาน เพื่อเอาตัวเองไปออกกำลังกายได้ตามแผนที่ตั้งไว้ครับผม

 

จาก 2. ข้อข้างต้นนั้น รวมแล้วผมเลยคิดว่า การทำงานแบบ WFH นั้นตอบโจทย์มาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาของการทำงานที่คุณสามารถจัดการได้เอง คุณสามารถใช้เวลากับการพักกลางวันได้มากกว่า 1 ชม. ในการปรุงอาหารและทานของคุณเองได้ (แต่ต้องไม่กระทบงานนะครับผมมม) หรือในช่วงเย็นวันนี้หากคุณต้องไปออกกำลังกาย (ผมเองใช้กฏการออกกำลังกาย ด้วยการเดินรอบหมู่บ้าน (ประมาณ 5kg) อาทิตย์ละ 3 รอบเป็นอย่างน้อยครับ แต่ถ้าคุณติดงานอยู่หรือมีงานค้างอยู่ คุณก็สามารถกด พักงาน เพื่อไปออกกำลังกายให้เรียบร้อยได้ แล้วก็ค่อยกลับมา เริ่มงาน เพื่อทำงานที่ค้างต่อให้เสร็จ ก็ได้เหมือนกันครับ

 

นี้ละครับ ทำไมผมถึงบอกว่า การทำงาน WFH นั้นตอบโจทย์เอามากๆ ทุกอย่างยืดหยุ่นให้กับวิถีการปฏิบัติและกฏกติกาในชีวิตส่วนตัวของคุณ ทำให้คุณสามารถ Balance ระหว่าง Work - Life ได้อย่างลงตัวเลยครับผม

 

 

บทสรุปของ 60 วันที่ผ่านมา และข้อดี ข้อเสีย ของการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ มีอะไรกันบ้าง

ต้องบอกก่อนเลยว่าผลลัพธ์ค่อนข้างน่าพอใจครับ น้ำหนักตอนเริ่มต้นนั้นผมหนักอยู่ที่ 125.8kg (อ้วนมากก) และจุดเริ่มต้นของการคิดจะลดน้ำหนักจริงจังคือ การที่ผมไปประสบอุบัติแขนหักจนต้องเข้ารพ.ครับ โดยนั้นเป็นจุดที่เราคิดได้ว่า ร่างกายเราเราคงต้องดูแลมากขึ้นแล้ว (แล้วก็ประกอบกับคนใกล้ตัวเริ่มมีเสียงบ่นมากครับ :P)

โดยเริ่มจากการลดน้ำหนักเป็นอย่างแรก เราก็ศึกษาข้อมูลและมีน้องชายที่ทาน Keto อยู่ก่อนแล้วด้วย เราก็เลยเลือกวิธีนี้และเริ่มลงมือดูบ้างครับ ณ วันนี้ที่ครบ 60 วัน น้ำหนักผมเหลืออยู่ที่ 109.8 ครับ ซึ่งลดไปได้เกือบ 16KG !! จาก 60 วัน

 

ก็เลยต้องบอกว่าผลลัพธ์ค่อนข้างน่าพอใจครับ แต่ก็ยังต้องลดต่อไป เพราะน้ำหนักระดับนี้ก็ยังถือว่าสูงอยู่ครับ เป้าหมายต่อไปก็คงไปทีละขั้นครับ และถ้าเรายังสนุกกับการทานอาหารแบบนี้ การใช้ชีวิตแบบนี้ ก็คิดว่าจะยังทำแบบนี้ไปเรื่อยๆแน่นอนครับผม :)

 

    

 

ส่วนข้อดี - ข้อเสีย ผมขอสรุปไว้เป็นขอๆแบบนี้นะครับ

ข้อดี

1.น้ำหนักลดลงแน่นอนครับ และตามมาด้วยสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น คล่องตัวมากขึ้น กระฉับกระเฉงมากขึ้นครับ

2.เสื้อผ้า เริ่มใกล้จะหาไซส์ปกติคนใส่ได้บ้างแล้วครับ จากที่ต้อง 3XL ตลอด ตอนนี้เสื้อเก่าๆบางตัวเริ่มรื้อกลับมาใส่ได้บ้างแล้วครับ

3.ได้ทานอาหารแบบที่การลดน้ำหนักในวิธีอื่นอาจจะไม่ได้ทานแบบนี้ ทำให้เรายังมีความสุขในการที่ได้ทานของอร่อยๆตามใจปากอยู่ครับ

4.ได้ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการ การอ่านและทำความรู้จักกับเครื่องปรุง ได้ลองปรุงอาหารอะไรเองแบบที่ไม่เคยได้ลองมาก่อน

 

ข้อเสีย Keto เลยก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะครับ ก็มีข้อเสียและข้อที่เพื่อนๆควรต้องระวังด้วยเหมือนกัน

1. เปลืองเงินเพิ่มขึ้นครับ อย่างที่บอกว่าคีโตนั้นเน้นเรื่องของเครื่องปรุงเป็นอย่างมาก ทำให้วัตถุดิบหรืออาหารหลายอย่างเราต้องเลือกที่เป็นของคีโตจริงๆ ซึ่งจะมีราคาสูงกว่าปกติครับ เช่น ซอสพริกไซส์ปกติเลย คีโตจะประมาณ 60-70 ครับ ของทั่วไปก็คงอยู่ที่ 20-30 บาทเท่านั้นนะครับ

1.2 อีกสาเหตุที่ทำให้ต้องเปลืองมากขึ้นเพราะเราไม่ได้ทาน "เแป้ง" ครับ ทำให้เราต้องทานเนื้อสัตว์มากขึ้นเพืื่อให้เราอิ่ม ก็จะทำให้ค่าเนื้อสัตว์เราค่อนข้างเปลืองมากขึ้นนั้นเองครับ (ส่วนตัวผมสั่งจาก Makro เอาครับ มีบริการส่งด้วยสะดวกดีครับผม)

2. การทานอาหารนอกบ้าน ก็นับว่าเป็นข้อเสียเล็กๆครับ บางทีที่บ้านแวะร้านอาหาร เรามีเตรียมไปเอง เราก็จะได้ทานของที่เราเตรียมไป หรือไม่ก็ต้องแวะซื้อ อกไก่ของร้านสะดวกซื้อ แต่ต้องนั่งดูคนอื่นทานอาหารที่หน้าตาน่าอร่อยกว่าไปด้วยนะครับ

 

บทสรุปทิ้งท้าย

สุดท้ายนี้การลดน้ำหนักนั้น ก็มีวิธีการอยู่มากมาย ทั้งที่เหมาะกับตัวเราและอาจจะไม่เหมาะกับตัวเรา(เช่นการวิ่งก็ไม่เหมาะกับผมเป็นต้น) แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม การออกกำลังกายและทานอาหารที่เป็นประโยชน์นั้นก็สำคัญที่สุดครับ หวังว่า Blog นี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนๆ ได้เริ่มต้นการดูแลสุขภาพของตัวเอง และมีร่างกายที่แข็งแรงกันทุกๆคนนะครับ ส่วนใครที่มีเคล็ดลับอะไรดีดี ก็ทักทายมาบอกกันได้นะครับผม ขอบคุณมากๆครับ :)

 

ถ้าใครมีคำถามหรือต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม สามารถทักมาพูดคุยสอบถามกันได้เลยนะครับ ยินดีที่จะให้คำแนะนำแน่นอนครับ :))

tags : wfh keto diet ลดความอ้วน thinknet work from anywhere



ติดตามข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ทาง Email